มาทำความรู้จักPower bankกันเถอะ!!

2015-09-02 10:00:10 ใน ความรู้ทั่วไป » 0 19553

แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) คือ อะไร ?

แบตเตอร์รี่สำรอง คือ แบตเตอร์รี่ที่มีการออกแบบความจุหลายขนาดห่อหุ้มด้วยวัสดุกันระเบิดอย่างแน่นหนาเพื่อให้สะดวกพกพาเดินทาง พร้อมมีช่องจ่ายกระแสไฟบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่ และมีช่องจ่ายพลังงานจากแบตเตอร์รี่เข้าสู่สมาร์ทโฟน/แทบเล็ต ในท้องตลาดมีหลายแบรนด์มากๆ ส่วนใหญ่ผลิตที่ประเทศจีน แม้แต่แบรนด์ดังๆ เช่น Enerigizer ,Sanyo ฯลฯ เพียงแต่ต่างกันที่กระบวนการควบคุมคุณภาพ และวัสดุที่นำมาผลิต ดังนั้นอย่าได้พูดว่าของจีนไม่ดี เพราะอุปกรณ์อิเล็คทริคชั้นนำของโลกกว่า50% ผลิตโดย "ประเทศจีน"

การคำนวณรอบการใช้งานของแบตเตอรี่สำรอง

แบตเตอรี่สำรองจะมีค่าสูญเสียพลังงานอยู่ที่20-30% นอกจากที่จะดูเรื่องรูปแบบของแบตเตอรี่สำรองแล้ว ก็ยังมีเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจอีกหนึ่งเรื่องคือ ในเรื่องของความจุแบตเตอรี่สำรองที่เชื่อว่าหลายๆ ท่านยังเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่ เช่นจะเอาความจุที่เป็นตัวเลขของแบตเตอรี่สมาร์ทโฟน มาลบกับความจุของแบตสำรองและนำตัวเลขที่ได้มาไปใช้ดูรอบการชาร์จ ซึ่งสิ่งนั้นเป็นความเข้าใจผิดๆ เนื่องจากแบตเตอรี่สำรอง ทุกชนิดๆ จะมีค่า Loss (สูญเสียพลังงาน) อยู่ที่ประมาณ20-30% ขึ้นอยู่กับการออกแบบแผงวงจรของผู้ผลิต ซึ่งจะเสียไประหว่างการแปลงพลังงาน ยกตัวอย่างเช่นเมื่อใช้แบตเตอรี่สำรองความจุ 4,000mAh พลังงานที่จ่ายได้จริงจะอยู่ที่ 2,800mAh นั่นเอง

อัตราการรับไฟบ้านเข้าตัว และอัตราการจ่ายไฟออกจากPower bank

อันนี้สำคัญมาก เพราะระยะเวลาการชาร์ตหากชาร์ตนานก็ทำให้เราหงุดหงิดมิใช่น้อย ให้พิจารณาที่ฉลากข้างกล่องได้เลยตรงที่พิมพ์ว่า
Input : DC 5V – 2.1 A (max) หมายความว่า ตอนชาร์ตไฟบ้านเข้าตัวPower Bank กระแสไฟฟ้าจะไหลเข้าไปเก็บสูงสุดต่อหน่วยเวลา คือ 2.1 แอมป์(ถือว่าเป็นปริมาณที่เร็วมากและปลอดภัยสำหรับPower Bank) ดังนั้น ถ้าพิมพ์ว่า 1.0 A (max) ก็แสดงว่า ชาร์ตไฟบ้านเข้าตัวPower Bank นานมาก ยิ่งความจุ 10,000 มิลลิแอมป์ อาจนานถึง 15 ชั่วโมงเลยทีเดียว
Output : DC 5V – 2.1 A หมายความว่า ตอนชาร์ตมือถือ/แทบเล็ต เข้ากับตัวPower Bank กระแสไฟฟ้าจะไหลเข้าสูงสุดต่อหน่วยเวลา คือ 2.1 แอมป์(ยิ่งมากยิ่งดี 2.1 A ถือว่าเร็วมาก ซึ่งปกติในท้องตลาดจะมี1.0 A กับ2.1 A

อุปกรณ์เสริม

ปกติPower Bank ที่มีขายจะไม่มีหัวปลั๊กไฟ ที่ใช้ต่อไฟบ้านเพื่อชาร์ตไฟเข้าPower Bank มาพร้อมในกล่องด้วย เพราะหัวปล๊กไฟนี้สามารถใช้ร่วมกับของมือถือ/แทบเล็ตในยุคปัจจุบันที่มีพอร์ตUSBที่หัวปลั๊กไฟอยู่แล้ว หัวปลั๊กไฟจะแปลงกระแสไฟบ้าน220โวลต์ เป็นกี่แอมป์ให้ดูที่หัวปลั๊กไฟได้เลย ตรงบรรทัดที่เขียนว่า Output ดังนั้น ให้ดูว่ามีหัวปลั๊กที่เข้ากับอุปกรณ์ของเราได้หรือไม่

ยืดอายุการใช้งานPower Bank

ถ้าหากเรารู้จักการใช้งานPower bankอย่างถูกวิธี และรู้วิธีการดูแลรักษาPower bankอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะสามารถยืดอายุการใช้งานPower bankของเราได้ยาวนานขึ้น ตอนซื้อPower Bankครั้งแรกให้ชาร์ตด้วยอัตราไฟเข้าต่ำ(ถ้าทำได้) คือไม่ใช้ไฟบ้านวิ่งเข้าตัวPower Bankโดยตรง แต่ให้ใช้ไฟจากคอมพิวเตอร์/Notebook เป็นแหล่งจ่ายไฟเข้าPower Bankแทนก่อน เหตุผลที่ครั้งแรกให้ชาร์ตด้วยอัตราไฟเข้าต่ำ เพราะต้องการกระตุ้นเซลล์เก็บประจุประเภท Li-On ของPower Bankเองให้ครบทุกเซลล์

ถ้าใช้แหล่งไฟจากไฟบ้าน ควรชาร์ตครั้งแรก 12 ชม. ต่อความจุของPower Bank 10,000mAh

ถ้าใช้แหล่งไฟจากคอมพิวเตอร์/Notebook ควรชาร์ตครั้งแรก 24ชม. ต่อความจุของPower Bank 10,000mAh

หลังจากการชาร์ตครั้งแรกแล้ว การชาร์ตPower bankด้วยไฟต่ำได้เสมอจะรักษาให้Power Bankมีอายุการใช้งานนานขึ้น แต่ถ้าไม่สะดวกก็ชาร์ตไฟบ้านตามปกติได้ แต่อายุการใช้งานก็จะเป็นไปตามจริงของมัน

วิธีการดูแลรักษา

1. อายุการใช้งานของ แบตสำรองแบบ Litium - Ion จะมีอายุประมาณ 300-500 รอบ ส่วนแบบ Litium-Polymer จะอยู่ที่ 600-800 รอบ ดังนั้น หมายความว่า เราสามารถใช้แบตสำรองได้ประมาณ 10เดือน-2 ปี (หากใช้วันละ 1 รอบ)

2. Power Bank จะเสื่อมเร็วถ้าเราต่อPower Bankเข้ากับมือถือ/แทบเล็ต แล้วใช้อุปกรณ์เข้าเน็ต/เล่นเกมส์ไปด้วย ดังนั้นควรปล่อยให้Power Bankจ่ายไฟเข้าอุปกรณ์จนเต็มแล้วถอดปลั๊กออก จึงค่อยใช้งานอุปกรณ์

3. Power Bank จะเสื่อมเร็วมากขึ้น ถ้าเราไม่ชาร์ตไฟให้ตัวเขาเต็มอยู่เสมอ หากเห็นว่าสถานะไฟบนตัวPower Bank เหลือต่ำกว่า 30% แล้ว ควรหยุดใช้งาน เพราะถ้าขืนคุณหยิบPower Bank ไปจ่ายไฟเข้ามือถือ/แทบเล็ต จนไฟในตัวPower Bank หมดเกลี้ยง คุณจะเห็นอาการ “ตายสนิท” ของPower Bank เร็วมากขึ้นเนื่องจากการสร้างประจุพลังงานใหม่นั้นใช้พลังงานเป็นอย่างมากจึงทำให้แบตของPower bankเสื่อมเร็ว

4. Power bank เกลียดความร้อน ยิ่งใกล้ความร้อนตัวเซลล์ในPower Bankจะเสื่อมไว ดังนั้นงดวางไว้ในที่ร้อน ควรเก็บPower bankไว้ในที่เย็นๆ ซึ่งจะสามารถยืดอายุและใช้งานได้นานมากขึ้น

5. ห้ามทำแบตสำรองตก หรือสัมผัสกับของเหลว เช่น น้ำ เพราะจะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรได้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไม่ถูกกับน้ำและความชื้น

6. ห้ามนำแบตสำรองไว้ใกล้ความร้อน เตาไฟ ไมโครเวฟ ฯลฯ หรือ อย่าเอาไฟไปเผาแบตสำรองเล่น เพราะจะทำให้แบตเตอรี่ระเบิด เกิดอันตรายได้

7. สุดท้าย แบตสำรองบางยี่ห้อ ไม่มีระบบการควบคุมอุณหภูมิความร้อนของตัวเครื่อง ถ้าใช้ติดต่อกันนานเกินไป ความร้อนจากการทำงานอาจทำให้แบตสำรองเสียหายและเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็วได้ ใช้อย่างพอดีๆ พักบ้างก็ดีเหมือนกัน



ขอขอบคุณบทความดีๆจาก
https://www.facebook.com/surpriseinfinity/posts/300062063492508